ชูวิทย์ น้อมรับ คำสั่งศาลยึดทรัพย์ ยอมรับที่ผ่านมาทำผิด ยันไม่กระทบสถานะ ส.ส.
เมื่อวันที่ 29 ก.ย. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย กล่าวยอมรับคำพิพากษาของศาลที่ตัดสิน แต่มูลค่าในการยึดทรัพย์นั้นแค่ 3.4 แสนบาท ไม่ใช่ 3.4 ล้านบาทตามที่เป็นข่าว ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะทุกคนก็รู้ว่าที่ผ่านมาตนทำอะไร ตนก็ทำก็ยอมรับผิด แต่อย่างไรก็ตามคำพิพากษาไม่ส่งผลกระทบการทำหน้าที่ ส.ส. ของตน ไม่เกี่ยวกัน การยึดทรัพย์เป็นคดีแพ่ง แต่ตนก็อยากเรียกร้องให้ดำเนินการกับสถานบริการที่กำลังเปิดในลักษณะนี้ด้วยก็ควรทำมาตรฐานเดียวกันกับคดีของตน และคดีใดที่ศาลชั้นต้นฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์ยกแล้ว ก็ควรมีการฎีกาแบบคดีของตนบ้าง
นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวถึงกรณีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษายึดทรัพย์ของนายชูวิทย์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย ตกเป็นของแผ่นดิน อาจทำให้ความเป็นส.ส.สิ้นสุดลงหรือไม่ ว่า กรณีของนายชูวิทย์ กกต.คงต้องดูข้อเท็จจริงก่อนว่าเป็นเรื่องอะไร ซึ่งกรณีสมาชิกภาพส.ส.สิ้นสุดลงจะต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 106 แต่หากกรณีของนายชูวิทย์ศาลได้พิพากษามีโทษอาญาก็อาจมีปัญหาความเป็นสมาชิกภาพ ส.ส.ได้ ดังนั้นเรื่องนี้ต้องดูก่อนว่าศาลพิพากษายึดทรัพย์เป็นคดีทางแพ่งตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินหรือไม่ ถ้าเป็นมาตรการทางแพ่งก็อาจไม่เข้าเหตุให้ความเป็นส.ส.สิ้นสุดลง แต่หากเป็นกรณีร่ำรวยผิดปกติก็อาจเข้าลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 102 ได้ ดังนั้นจึงต้องดูข้อเท็จจริงก่อนเพราะขณะนี้ตนยังไม่ทราบข้อเท็จจริง ถ้ามีข้อสงสัยก็สามารถส่งเรื่องมาให้กกต.ดูได้.